Roast Level ความแตกต่างของแต่ละระดับการคั่ว

     “เมล็ดกาแฟเดียวกัน แต่ต่างระดับการคั่วกันรสชาติที่ได้ก็จะต่างกัน” 

     “Roast Level” หรือ ระดับการคั่วกาแฟ หลายคนเคยได้ยินคำนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อซื้อกาแฟ และวันนี้เราจะพาทุกๆ คนไปทำความเข้าใจว่าแต่ละระดับการคั่วแตกต่างกันอย่างไร?

     ก่อนจะมาเป็นกาแฟหอมๆ แก้วโปรดของหลายๆ คนนั้น มาจากเมล็ดกาแฟดิบ (Green bean coffee) ที่ไม่มีรสชาติใดๆ ต้องผ่านการคั่วก่อน ดังนั้นการคั่วกาแฟจึงเปรียบเสมือนการสร้างเรื่องราว และดึงเอากลิ่นอายความโดดเด่นของกาแฟตัวนั้นออกมาให้ได้มากที่สุด

     เมื่อเมล็ดกาแฟผ่านความร้อน ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในเมล็ด โดยเฉพาะน้ำมันที่จะระเหยออกมา อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีต่างๆ ภายใน ทำให้เราได้กลิ่นหอมของกาแฟ ก่อนนำมาชงเพื่อดื่มด่ำไปกับกลิ่นหอมและรสชาติที่คอกาแฟต่างหลงใหล

     เมล็ดกาแฟที่ต่างระดับการคั่วกัน จะมีสีที่แตกต่างกัน รวมทั้งมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันด้วย มีตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนไปจนสีน้ำตาลเข้มหรือเกือบดำ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการคั่วและอุณหภูมิที่ใช้ในการคั่วนั่นเอง จึงทำให้ลูกค้าอาจจะเกิดความสับสนในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟแต่ละระดับการคั่ว

     เนื่องจากนักคั่วกาแฟหรือโรงคั่วแต่ละแห่งมีระดับการคั่วกาแฟที่แตกต่างกัน เราจึงต้องมีมาตรฐานของระดับการคั่วที่เป็นสากล

            

     ซึ่งแต่ละระดับการคั่วนั้นก็จะให้สี กลิ่น รสชาติ รวมถึงการนำไปใช้งานที่แตกต่างกันด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกนำไปใช้งานให้อย่างเหมาะสมและได้ง่ายยิ่งขึ้น บลูคอฟจึงมีระดับการคั่วที่เหมาะสมกับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ไว้ให้ทุกคนได้ศึกษาและนำไปลองปรับใช้กับการชงของทุกคนกันค่ะ โดยเราจะแยกออกเป็น 4 ระดับด้วยกัน เรามาดูกันว่าแต่ละระดับนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

Light Roast (คั่วอ่อน)

สี : น้ำตาลซินนามอน

รสชาติ : กาแฟยังคงให้กลิ่นและรสชาติที่เป็นคาแรคเตอร์ของกาแฟ ให้ความรู้สึกถึงผลไม้ เพราะยังมีความเป็นกรด(Acidity) อยู่มาก จึงทำให้สัมผัสถึงความเปรี้ยวได้

การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับชงแบบ Filter

Medium Roast (คั่วกลาง)

สี : น้ำตาลแดง

รสชาติกาแฟ : ความเปรี้ยวยังคงอยู่แต่น้อยกว่า Light Roast สามารถสัมผัสถึงความหวานของกาแฟได้

การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับการชงทั้ง Filter และ Espresso

Medium-Dark (คั่วกลางค่อนเข้ม)

สี : น้ำตาลเข้ม เริ่มมีน้ำมันบนผิวเมล็ดบ้างเล็กน้อย

รสชาติกาแฟ : เริ่มมีความหวานและเนื้อสัมผัสมากขึ้น ความเปรี้ยวลดลงมาก กาแฟเริ่มมีกลิ่นหอมของกาแฟคั่ว

การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับชงด้วยเครื่อง Espresso และ Moka Pot

Dark Roast (คั่วเข้ม)

สี : น้ำตาลแดงเข้มไปจนถึงสีดำ ผิวของเมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันเคลือบ

รสชาติ : มีกลิ่นหอมกาแฟคั่ว เนื้อสัมผัสมาก มีความหวานปนขมคล้ายดาร์กช็อกโกแลต แทบจะไม่มีรสเปรี้ยว

การนำไปใช้งาน : เหมาะสำหรับชงด้วยเครื่อง Espresso และการทำเป็นกาแฟใส่นม

     และที่สำคัญคือ กาแฟที่เพิ่งผ่านการคั่วไม่นาน ภายในเมล็ดกาแฟจะยังมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดในระหว่างการคั่วอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งก๊าซเหล่านั้นอาจจะไปบดบังรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟอยู่ ดังนั้นหลังจากที่กาแฟคั่วแล้ว ให้พักกาแฟไว้ก่อนประมาณ 3-7 วัน เพื่อให้กาแฟได้คายก๊าซที่มีอยู่ในเมล็ดกาแฟออกมาก่อนนั่นเองค่ะ

     ดังนั้น เมล็ดกาแฟยิ่งคั่วเข้มมากเท่าใด คาแรคเตอร์ของกาแฟก็จะยิ่งสูญเสียมากขึ้น รสชาติของกาแฟก็จะเข้มขึ้น ความเปรี้ยวลดลงแตกต่างกันไปตามแต่ละแหล่งเพาะปลูกนั้นเอง และเมล็ดกาแฟแต่ละระดับการคั่วที่เหมาะสมกับการชงแบบไหนเป็นเพียงการแนะนำเท่านั้น ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับผู้ดื่มว่าชื่นชอบแบบไหน เพราะการดื่มกาแฟนั้นไม่มีผิด ไม่มีถูกเป็นสูตรตายตัว เป็นหนึ่งในความน่าหลงใหลในโลกของกาแฟ ที่ทำให้คุณได้ทดลองและสนุกไปกับการดื่มกาแฟในทุกๆ วันค่ะ