เบื้องหลังความสำเร็จตลอด 25 ปีของ Bluekoff ไม่ได้เกิดขึ้นจากโชคช่วย หากแต่เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ การเรียนรู้ และการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง บทความนี้จะพาคุณไปเปิดมุมมองของคุณศุภชัย ศรีวิตตาภรณ์ ผู้ก่อตั้ง Bluekoff กับเส้นทางที่เริ่มต้นจากความบังเอิญ...จนกลายเป็นธุรกิจที่ยืนหยัดในวงการกาแฟไทยอย่างมั่นคง
คุณศุภชัยเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นที่พาเขาเข้าสู่ธุรกิจกาแฟ ตอนนั้นทำงานพาร์ทไทม์ ไปช่วยวงดนตรีที่โรงเรียนบดินทรเดชา แล้วบังเอิญได้มีโอกาสพูดคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งที่เป็นคอกาแฟตัวยง ซึ่งรุ่นพี่คนนี้มีบ้านอยู่ที่เชียงใหม่ และที่น่าสนใจคือมีเครื่องคั่วกาแฟอยู่ที่บ้านด้วย
โอกาสเริ่มต้นเมื่อคุณศุภชัยได้ลองชิมกาแฟที่รุ่นพี่นำมาจากบ้าน ปรากฏว่ากลิ่นและรสชาติดีกว่ากาแฟที่เคยดื่มจากร้านทั่วไปเยอะเลย ความแตกต่างนี้เกิดจากการคั่วสดใหม่ทำให้กาแฟมีกลิ่นหอมที่ชัดเจนกว่า
ความประทับใจในรสชาติ ผนวกกับแนวคิดในการหารายได้เสริมในขณะนั้น ทำให้เขาตัดสินใจเริ่มต้นธุรกิจขายเมล็ดกาแฟในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมกาแฟในประเทศไทยเริ่มเติบโต เขาเริ่มนำเมล็ดกาแฟของตนเองไปเสนอขาย และได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง นำไปสู่การเติบโตของธุรกิจในเวลาต่อมา
แนวทางการเรียนรู้ของคุณศุภชัย แบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ คือการเรียนรู้จากอินเทอร์เน็ต และการเรียนรู้จากแรงบันดาลใจส่วนตัว
ในช่วงเริ่มต้น เขาอาศัยการแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านสังคมออนไลน์ของชมรมกาแฟ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้คนที่สนใจในกาแฟได้แบ่งปันเทคนิค สูตร และประสบการณ์ต่างๆ
ขณะเดียวกัน เขายังได้แรงบันดาลใจจากไอดอลในวงการกาแฟระดับโลกคนแรก นั่นคือ เดวิด ซี. โชเมอร์ (David C. Schomer) เจ้าของร้าน Espresso Vivace เมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกศิลปะลาเต้อาร์ตยุคแรกๆ คุณศุภชัยเล่าว่า “ผมได้แผ่น CD มาแผ่นหนึ่ง เขาสอนตั้งแต่วิธีการทำ Espresso Shot แบบ Perfect Shot ไปจนถึงวิธีการสตีมนมและเทลาย ผมดูซ้ำไปเรื่อยๆ จนแผ่นเปื่อย ช่วงที่หัดเทลายก็เปลืองนมมาก ผมต้องใช้ซีอิ๊วดำผสมน้ำแทนช็อตเอสเพรสโซ และใช้น้ำยาล้างจานผสมน้ำบางๆ แทนนม เพื่อประหยัดต้นทุนในการฝึกซ้อม
ไอดอลอีกคนก็คือ พีท ลีคาต้า (Pete Licata) แชมป์โลกจากเวที World Barista Champion 2013 ซึ่งในช่วงหนึ่งเขาได้เดินทางมาเมืองไทย “ผมได้มีโอกาสดื่มกาแฟที่เขาชง แล้วรู้สึกว่าโลกมันต่างจากที่ผ่านมา รู้สึกว่าเราเคยทำ Espresso Shot ดีอยู่แล้ว มันไม่ใช่แบบนั้นเลย แก้วนั้นเปิดโลกใหม่ของผมมาก” ประสบการณ์จากแก้วนั้นกลายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญ ที่ผลักดันให้เขายกระดับมาตรฐานของตนเอง และไม่หยุดอยู่กับความรู้ที่มี
สำหรับคุณศุภชัย แนวคิดสำคัญที่หล่อหลอมการเติบโตของ Bluekoff ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา คือการยึดมั่นในเรื่อง คุณภาพกาแฟที่ออกมาต้องดีตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ และการรับฟังคำติชมทั้งในแง่ดีและในแง่ที่ไม่ดีเพื่อนำมาปรับปรุงพัฒนาต่อไป
สมัยก่อนเรามีแค่ A4 กับ A5 แต่ลูกค้าหลายคนต้องการรสชาติที่อ่อนลงจาก A5 แต่ไม่อ่อนเท่า A4 เราจึงพัฒนา A4.5 ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์นี้ ทั้งนี้ คุณศุภชัยอธิบายด้วยว่า A4, A4.5, A5 ไม่ใช่ระดับการคั่ว แต่เป็นรหัสสินค้าของ Bluekoff ที่ตั้งมาเพื่อความเข้าใงง่าย โดย A1 เป็น Peaberry, A2 เป็น Blue Special Blend, A3 เป็น Blue Light, A4 เป็น Blue Brown, และ A5 เป็น Blue Deep Brown นั้นเอง สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยอิงจากเสียงสะท้อนของผู้บริโภคเช่นนี้ ทำให้ Bluekoff ยังคงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เข้าใจตลาดและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
เมื่อถามถึงแรงผลักดันที่ทำให้เขายังคงมุ่งมั่นในธุรกิจกาแฟตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณศุภชัยตอบทันทีว่า “มันเป็นเหมือนแพชชั่นครับ” สำหรับเขา โลกกาแฟเต็มไปด้วยรายละเอียดให้ค้นหา ตั้งแต่ฟาร์ม สายพันธุ์ กระบวนการแปรรูป ไปจนถึงการคั่วและการชงในแต่ละแก้ว ทุกขั้นตอนต่างมีศาสตร์เฉพาะตัว และล้วนเต็มไปด้วยความท้าทาย
“มันมีอะไรให้เรียนรู้และลงลึกอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ทำมานานแค่ไหน เราก็ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเริ่มต้น เพราะมีสิ่งใหม่ๆ ให้เปิดโลกอยู่เสมอ”
ตลอดเส้นทางกว่า 25 ปีในวงการกาแฟ มุมมองของคุณศุภชัยได้เปลี่ยนแปลงและเติบโตผ่าน 3 ช่วงสำคัญ
ช่วงที่ 1: จุดเริ่มต้นจากเสน่ห์ของกลิ่น รส และความตื่นตัวของกาแฟ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาตกหลุมรักในแก้วแรก และกลายเป็นจุดประกายสำคัญในการเข้าสู่ธุรกิจนี้
ช่วงที่ 2: เมื่อหลงใหลลึกขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นนำไปสู่การตามหากลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์จากแหล่งปลูกทั่วโลก
ช่วงที่ 3: ปัจจุบันมุมมองของเขาเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตามหาดื่มที่มีความบาลานซ์ ความหวาน และดื่มง่ายที่ไม่ต้องหวือหวา เป็นกาแฟที่เติมเต็มได้ในทุกวัน หรือที่เขาเรียกว่า Everyday Coffee
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดตลอด 25 ปีของการทำธุรกิจ คือการตัดสินใจขึ้นไปสร้างโรงงานแปรรูปกาแฟบนดอยช้าง ตอนนั้นเหมือนต้องแยกร่าง เปิดทุกอย่างใหม่ ลงทุนทุกอย่างที่มี คุณศุภชัยเล่าย้อนถึงช่วงเวลานั้นว่า เป็นการตัดสินใจที่ทั้งเสี่ยงและหนักมาก เพราะเงินที่หามาได้ตลอดเวลาก็ต้องนำไปลงกับโปรเจกต์นี้ แม้จะเป็นช่วงที่กดดันที่สุด แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับเปลี่ยนมาตรฐานของกาแฟไปอย่างสิ้นเชิง สามารถควบคุมคุณภาพได้ตั้งแต่ต้นทาง ทำให้กาแฟของ Bluekoff มีมาตรฐานที่ชัดเจนและสม่ำเสมอยิ่งขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก
“วันนี้มองย้อนกลับไป มันคุ้มค่า เพราะเราไม่ได้แค่สร้างโรงงาน แต่เราสร้างรากฐานของคุณภาพขึ้นมาด้วยตัวเอง”
เราทำคุณภาพให้ดีที่สุดอย่างสม่ำเสมอ นี่คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Bluekoff ยืนหยัดอยู่ในวงการกาแฟไทยมาตลอด 25 ปี เพราะเราใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดทุกครั้ง
Bluekoff มุ่งมั่นผลักดันกาแฟไทยให้ก้าวขึ้นสู่เวทีโลก “ผมอยากเห็นกาแฟไทยของเราไปอยู่ยุโรปเยอะๆ ไปทวีปอื่นๆ เพื่อทำให้คนทั่วโลกได้รู้จักและยอมรับกาแฟไทยมากขึ้น" เพราะกาแฟไทยไม่ได้มีแค่รสชาติ แต่ยังสะท้อนภูมิประเทศ วัฒนธรรม และความใส่ใจที่ส่งต่อจากเกษตรกรถึงมือผู้ดื่มทั่วโลก
ในวาระครบรอบ 25 ปีของ Bluekoff ผมขอขอบคุณลูกค้าทุกท่าน และพันธมิตรทุกคนที่ร่วมเดินทางกับเรามาอย่างยาวนาน จากวันแรกที่เราเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ จนถึงวันนี้ที่ Bluekoff ได้กลายเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนของวงการกาแฟไทย เราไม่อาจมายืนตรงจุดนี้ได้เลยหากปราศจากการสนับสนุนและความไว้วางใจจากทุกคน
เรายังคงยึดมั่นในเจตนารมณ์เดิมเสมอ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เมล็ดกาแฟของเราออกมาดีที่สุด ส่งมอบคุณภาพ และจะเดินหน้าต่อไปด้วยหัวใจเดิมที่ไม่เปลี่ยนแปลง
จากจุดเริ่มต้นแบบ "จับพลัดจับผลู" สู่การเดินทางกว่า 25 ปี Bluekoff ยืนหยัดด้วยความมุ่งมั่นในคุณภาพ ความหลงใหลในกาแฟ และการฟังเสียงของลูกค้า
ทั้งหมดนี้ทำให้ Bluekoff ไม่ได้เป็นแค่แบรนด์กาแฟ แต่คือเรื่องราวของการเติบโตที่งดงาม และแรงบันดาลใจที่ยังคงเบ่งบานในทุกวัน
Bluekoff Co.,Ltd. สำนักงานใหญ่
และสถานที่เรียนชงกาแฟ
81 ซอยลาดพร้าว 15 แยก 1 ถนนลาดพร้าว
แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
จันทร์ - เสาร์ 8:30น. - 17:00น.
หยุดวันอาทิตย์ และวันหยุดนขัตฤกษ์